ความเป็นมา
จุดเริ่มของแนวคิดนี้ มาจากโยคีชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ พี.อาร์. ซาร์การ์ (P.R. Sarkar) ที่นําศาสตร์ทางตะวันออกกับความทันสมัยแบบตะวันตกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
เช่นมีการให้เด็กๆ ฝึกสมาธิ ทำโยคะ ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงเพลงและวิธีการสอนใหม่ๆ
รวมเข้าไปด้วย
หลักการ
สิ่งแวดล้อมและการศึกษาในวัยต้นๆ ของชีวิต มีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งต่อความเฉลียวฉลาด
คุณธรรม และความสุขของคนเรา
โดยเชื่อว่าความเก่ง ความฉลาด ซึ่งเป็นศักยภาพที่มีอยู่
ในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์ดึง ศักยภาพดังกล่าว ออกมาใช้แค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั้งๆ ที่มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพตัวเอง ได้สูงสุดมากกว่านี้ และเชื่อว่าความเป็นคนที่ สมบูรณ์นั้นเกิดจากศักยภาพที่สําคัญ 4 ด้าน คือ
1. ร่างกาย (PHYSICAL) จะต้องแข็งแรง
2. จิตใจ (MENTAL) ถ้ารูปร่างดีแข็งแรง แต่จิตใจไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัว เองไม่ได้ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ก็ไม่มีประโยชน์
3. ความมีน้ำใจ (SPIRITUAL) มีความรักให้กับคนอื่นในวงกว้าง ช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่หวัง
ผลตอบแทน มีความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ มีใจที่เปิดกว้าง
4. วิชาการ (ACADEMIC) ถ้าเราไม่มีวิชาการ ไม่มีความรู้ ก็ไม่มีทางที่เราจะมีอะไรมาบํารุง
ตัวเองทั้ง 4 ด้านคือหลักการสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์ การศึกษาที่ดีจะต้องจัดให้ครบทั้งหมดนี้
กระบวนการ
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายความเป็นคนที่สมบูรณ์ กิจกรรมที่ทําในโรงเรียนนีโอฮิวแมนนิส
จะต้องสอดคล้องกับหลัก 4 ข้อ คือ คลื่นสมองต่ำ การประสานของเซลล์สมอง ภาพพจน์ต่อ
ตัวเอง และการให้ความรัก ซึ่งต้องไปด้วยกัน เด็กจึงจะไปในทิศทางที่ดี
1. คลื่นสมองต่ำ นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องมือวัดคลื่นสมอง ซึ่งสามารถตรวจพบว่า ประสิทธิภาพการทำงานของคนเราจะแปรเปลี่ยนไปตามคลื่นสมองที่เราส่ง ยิ่งต่ำลงมากเท่าไร
จะยิ่งมี ประสิทธิภาพดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราจะมีความสงบทางจิตใจ อารมณ์ดี ใจเย็น
มีความคิดสร้างสรรค์สูง เกิดสมาธิ จิตใจเป็นหนึ่งเดียว ไม่ฟุ่งซ้านไม่วอกแวก กิจกรรมจึงต้อง
สร้างให้ เด็กเกิดภาวะคลื่น สมองต่ำมากที่สุด เช่น ก่อนเข้าห้องเรียน เด็กๆ ได้ฝึกทําโยคะ
นั่งสมาธิ อันถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้ เขาเรียนหนังสือได้อย่างสบายใจ และมีความสุข
ในการรับรู้
โยคะและสมาธิจะช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทผ่อนคลายขณะเด็กทำโยคะจิตใจเขาจะ
เป็นหนึ่งเดียว เรื่องอะไรที่วุ่นวายจะค่อยสงบลงๆ การเล่านิทาน การกอด เสียงเพลง และท่าที
คำพูดจากคนรอบข้าง ก็มีส่วนทำให้คลื่นสมองต่ำได้เช่นเดียวกัน้าเด็กอยู่ใกล้คนคลื่นสมองต่ำ
เขาก็จะต่ำด้วย แต่ถ้าใกล้คนที่คลื่นสมองสูง อารมณ์เขาก็พลอยรุนแรงสูงตามไปด้วย ดังนั้น
บทบาทของครูจึง เป็นเรื่องสําคัญ ครูต้องอารมณ์เย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ พูดให้กำลังใจ
และไม่พูดในแง่ลบ
อาหารการกินก็มีส่วนต่อคลื่นสมองของคนเราด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นอาหารธรรมชาติมาก
เท่าไหร่ จะยิ่งส่งผลดีมากเท่านั้น อาหารที่โรงเรียนจึงเป็นแบบกึ่งมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่
เช่น หมู เนื้อ แต่กินเนื้อสัตว์เล็กตั้งแต่ไก่ลงมา เน้นผัก ผลไม้ นมและดื่มน้ำมากๆ
2. การประสานของเซลล์สมอง เราเคยเชื่อว่าความฉลาดมาจากพันธุกรรม พ่อเก่ง แม่เก่ง ลูกจะ
ออกมาเก่ง แต่แนวคิดนีโอฮิวแมนนิสมีความเห็นต่างออกไปจากนั้น โดยเชื่อว่าความฉลาด
สามารถฝึกฝนกันได้ ไม่ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ แต่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ว่าได้มีส่วนช่วย ทําให้เซลล์สมองประสานกันมากน้อยแค่ไหน
การที่คนไหนจะฉลาดหรือไม่ฉลาด เกิดจากเซลล์สมองประสานเข้าด้วยกันหรือที่เรียกว่า
เซลล์ประสานประสาท ถ้าใครมีมากๆคนนั้นจะฉลาด เรียนรู้เรื่องต่างๆ ได้เร็ว อย่างเรามีเพื่อน ทําไมบางคนอ่านหนังสือสิบนาที จำได้หมดแล้วเรากลับจําไม่ได้ มีการค้นพบว่าเซลล์ประสาน
ประสาทจะขยายตัวได้ดี เมื่อมือกับเท้าของเราทํางานมาก เพราะปลาย ประสาทจะอยู่ตรงส่วนนี้มาก ฉะนั้นในแนวคิดนี้จึงให้เด็กเรียนๆ เล่นๆ เรียนก็จริง แต่ต้องได้เคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นกิจกรรมจึงมุ่งให้เด็กได้ออกนอกห้อง ได้ปีนป่าย ได้วิ่งเล่น เพื่อให้มือกับเท้าทำงานมากที่สุด
นีโอฮิวแมนนิสจะไม่เชื่อเรื่องให้เด็กเรียนอย่างเดียว หรือเล่นอย่างเดียว เพราะในช่วง 3-6 ปี จะเป็นช่วงที่สมองของคนเราเจริญเติบโตมากที่สุด ถ้าไม่ให้เรียนเสียเลย แล้วมาเรียนตอน 7-8 ขวบ
จะยิ่งช้าไป ดังนั้นจึงต้องเรียนบ้าง โดยกระจายให้เหมาะสม และใช้วิธีการที่จูงใจ ให้เด็กเรียนรู้ด้วย คลื่นอัลฟาหรือคลื่นสมองต่ำมากที่สุด
ส่วนวิธีการสอนแม้เป็นนามธรรม แต่ก็มีวิธีจูงใจอย่างมีระบบ จากรูปธรรมง่ายๆ ไปสู่สิ่งที่เป็น
รูปธรรม ยากๆ แล้วจึงค่อยไปสู่นามธรรมโดยที่เด็กแทบจะไม่รู้ตัวเลย เช่น แทนที่เด็กจะต้อง ท่องตัว
อักษรต่างๆ เขาก็จะรู้จักเจ้าตัวพวกนี้ผ่านเกม โดยวิ่งไปตามพื้นห้องให้เป็นรูปตัวอักษร ทําตัวเองให้เป็น
รูปนั้น หรือเล่นเกมบัตรคําสนุกๆ และแทนที่จะต้องหลับหูหลับตาท่อง ตัวเลขมากมายอย่างไร ความหมาย
พวกเขาก็จะได้เรียนรู้การใช้จากของจริง เช่น นับตัวเลข จากลูกปัดหอย หรือผลไม้ ถ้าหากจะเรียน
สร้างเสริม ประสบการณ์ชีวิต ครูก็จะพาพวกเขาไป สัมผัสกับประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน อาจพาไป
ดูปลาในบ่อาไปรู้จักสัญญาณ ไฟจราจรริมถนน เป็นต้น
3. ภาพพจน์ของตัวเอง (SELF CONCEPT) ความรู้สึกที่คนเรามีต่อตัวเรา ตามหลักจิตวิทยามัยใหม่พบว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเราจะส่งผลไปถึงความรู้สึกที่เรามีต่อคนอื่นด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าตัว
เองไม่ได้เรื่อง เราก็จะไม่เชื่อมั่นคนอื่น ความรู้สึกที่มาจากตัวเรามันมาจาก ประสาทสัมผัสทั้งห้า
ที่เป็นตัวบันทึก โดยเฉพาะทางตากับทางหู เป็นเรื่องของจิตใต้สํานึก ซึ่งวัยเด็กเป็นวัยที่รับรู้สูงที่สุด ถ้าจิตใต้สํานึกบันทึกไว้แต่เรื่องด้านลบ ได้ยินคนรอบข้างพูดเรื่อยๆ ว่าไม่เก่ง ซน เด็กเติบโตขึ้นก็จะ กลายเป็นคนที่ไม่เก่ง ซน ซุ่มซ่าม เมื่อภาพพจน์ที่มีต่อตัวเอง เป็นลบ พฤติกรรมที่ออกมาก็จะเป็นลบด้วย
ดังนั้น บทบาทของครูจึงเป็นเรื่องสําคัญ (กรณีเดียวกับเรื่องคลื่นสมองต่ำ) เชื่อว่าพฤติกรรมของ ครูคือบทเรียนที่ดีที่สุดของเด็ก เช่น ถ้าครูไม่กินผัก เด็กก็จะไม่กินผัก ถ้าครูพูดจาไพเราะ เด็กก็จะพูด
จาไพเราะ แนวคิดนี้ไม่เชื่อว่าทําอย่างที่ครูสอน แต่อย่าทําอย่างที่ครูทํา ดังนั้นคนเป็นครูที่ดีจึงต้องสมบูรณ ์พร้อมทั้งพฤติกรรมส่วน ตัวและเทคนิคการสอนด้วย เด็กจึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
4. การให้ความรัก เปรียบเสมือนกับแก้วน้ำ ถ้าความรักของเด็กคนนั้นเต็ม มันย่อมไหลเผื่อแผ่
ไปถึงผู้อื่น ตรงกันข้ามถ้าความรักของเขามีเพียงค่อนแก้ว เขาย่อมเรียกร้องต้องการการแสดงออก ซึ่งความรักแก่เด็กที่จะทําให้เขาได้รับความรักล้นเต็ม
วิธีที่จะได้ความรัก
1. รอยยิ้ม ตามหลักจิตวิทยา การยิ้มคือการยอมรับในความเป็นมนุษย์
2. คําชม การนําเอาข้อดีมาพูด
3. การสัมผัส ในเด็กวัย 3-6 ขวบต?องการสิ่งนี้มาก นักจิตวิทยาบอกว่าคนเราต?องการการสัมผัสอย่างน้อยวันละ 4 ครั้งเพื่อการมีชีวิตรอด 8 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างปกติ และ 14 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าไม่ได้รับเลยเขาจะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ดังนั้นในโรงเรียนนีโอฮิวแมนนิส ครูจึงกอดเด็กหลังเช็กชื่อในตอนเช้าเสมอ |